ท้องแล้วแท้ง สู้กับการมีบุตรยากระยะสุดท้าย
[vc_row full_width="stretch_row_content"][vc_column][vc_column_text]
"ดูแลครรภ์อย่างดี ก็แท้งได้ สำหรับผู้เคยมีบุตรยาก"เมื่อรู้ว่ากำลังตั้งครรภ์ ก่อนจะจินตนาการวาดฝันไปไกลถึงครอบครัวที่อบอุ่นในอนาคต สิ่งที่ควรจะให้ความสำคัญมากที่สุด คือ ความปลอดภัยของทั้งตัวแม่และลูกในท้อง เพราะเมื่อคุณตั้งครรภ์นั้นเท่ากับว่าคุณกำลังแบกชีวิตน้อยๆอีก 1 ชีวิตไปกับคุณด้วยทุกๆ ที่ หากคุณแม่ดูแลตัวเองได้ไม่ดี ก็อาจนำไปสู่ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้เกิดขึ้นอย่างการแท้งบุตร การแท้งบุตรเกิดขึ้นได้ 15-25%ของการตั้งครรภ์ 80% จะเกิดในไตรมาสแรก ในประเทศไทยจะใช้เกณฑ์การตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์น้อยกว่า 28 สัปดาห์ หรือน้ำหนักทารกน้อยกว่า 1000 กรัม เป็นเกณฑ์การแท้ง ส่วนองค์การอนามัยโลกจะใช้เกณฑ์น้อยกว่า 20 สัปดาห์ หรือน้ำหนักทารกน้อยกว่า 500 กรัม อย่างไรก็ตามบางสถาบันการแพทย์อาจใช้เกณฑ์ที่แตกต่างกันออกไปตามศักยภาพในการดูแลทารกของสถาบันนั้นๆ ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุของการแท้ง 1.การแท้งบุตรที่เกิดจากทารก กว่า 60% ของการแท้งทั้งหมด มักมีสาเหตุมาจากความผิดปกติทางด้านโครโมโซมของทารกในครรภ์ โดยอาจจะเช่นลักษณะที่ไม่พบตัวอ่อนในถุงการตั้งครรภ์เลยเรียกว่าภาวะไข่ฝ่อ (blighted ovum) หรืออาจเห็นตัวอ่อนในถุงการตั้งครรภ์แล้ว แต่ไม่มีการทำงานของหัวใจ 2.การแท้งที่มีสาเหตุจากมารดา
- การติดเชื้อต่างๆไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย เป็นการติดเชื้อทั่วร่างกาย หรือเป็นการติดเชื้อเฉพาะที่
- โรคประจำตัวของมารดา เช่น โรคเบาหวาน ไทรอยด์เป็นพิษ SLE เป็นต้น
- การรักษาโรคมะเร็ง ไม่ว่าจะด้วยการฉายแสง หรือยาเคมีบำบัด ก็เพิ่มโอกาสการแท้งบุตรได้
- การผ่าตัด โดยเฉพาะการผ่าตัดถุงน้ำรังไข่ ก่อนอายุครรภ์ 10 สัปดาห์
- ภาวะทุพโภชนาการ ไม่ว่าจะอ้วนเกินไป หรือผอมเกินไป
- การใช้ยาหรือวัคซีนบางชนิด
- การมีลักษณะมดลูกผิดปกติ เช่น เนื้องอกมดลูก มีผนังกั้นภายในมดลูก เป็นต้น
- การแท้งที่เกิดจากคุณพ่อ ยังไม่มีงานวิจัยที่ดีพอที่จะอธิบายความสัมพันธ์ด้านบิดาต่อการแท้งบุตรอาการแท้งบุตรในผู้หญิง จะมีเลือดออกทางช่องคลอดและมีอาการปวดท้องน้อย ในบางกรณีอาจพบชิ้นเนื้อลักษณะคล้ายพุงปลาหลุดปนออกมาจากช่องคลอดด้วย ซึ่งการแท้งบุตรอาจส่งผลต่อร่างกายของผู้เป็นแม่ได้มาก ยิ่งในกรณีที่ครรภ์มีอายุเกิน 10 สัปดาห์ อาจจะมีเนื้อเยื่อตัวอ่อนตกค้างอยู่ซึ่งจำเป็นต้องเอาออกโดยการผ่าตัดขูดมดลูก วิธีนี้อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ มดลูกเป็นรู หรือเกิดแผลเป็นที่ปากมดลูก หรืออาการตกเลือดได้
"ถ้าแท้งแล้วเว้นช่วงนานแค่ไหนถึงจะมีบุตรได้อีก"หลังจากที่ความสูญเสียได้ผ่านพ้นไป อย่ามัวแต่ท้อแท้สิ้นหวัง คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายควรรีบลุกขึ้นมาดูแลสุขภาพ เพื่อฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาแข็งแรงให้ได้เร็วที่สุด เตรียมพร้อมสำหรับการมีลูกในครั้งต่อไป เพราะใช่ว่าแท้งแล้วจะมีลูกอีกครั้งไม่ได้ “แท้งได้ ก็ท้องใหม่ได้…” สำหรับคู่ที่มีการวางแผนมีลูกครั้งต่อไป ควรเว้นช่วงด้วยคุมกำเนิดเป็นเวลาประมาณ 3 เดือน เพื่อรอให้อวัยวะภายในของคุณแม่ฟื้นตัวกลับมาแข็งแรง พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป ในกรณีของคุณแม่ที่มีการผ่าตัดเนื้องอกมดลูกที่ต้องผ่าผ่านผนังมดลูก ทำให้มีแผลที่กล้ามเนื้อมดลูก ควรเว้นช่วงนานถึง 6-12 เดือน ก่อนตั้งครรภ์ครั้งต่อไป วิธีดูแลตัวเองหลังแท้งบุตร
- หมั่นสังเกตตัวเอง โดยปกติเลือดที่ไหลออกจากช่องคลอดจะลดลงเรื่อยๆ และหยุดไหลภายใน 1-2 สัปดาห์ อาการปวดท้องน้อยจะค่อยๆ บรรเทาลง หากพบว่าเลือดไม่หยุดไหลและมีชิ้นเนื้อหลุดปนออกมาทางช่องคลอด มีอาการปวดท้อง มีไข้ ควรรีบพบแพทย์ทันที เพราะอาจเกิดจากการติดเชื้อขึ้นได้
- คุณแม่ควรเข้ารับการตรวจภายในและตรวจมะเร็งปากมดลูกและดูสุขภาพโดยรวม หลังการแท้งบุตร 2 สัปดาห์
- ตรวจร่างกายและเจาะเลือดเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการตั้งครรภ์ หากพบความผิดปกติควรรีบรักษาให้หายเป็นปกติก่อนมีการตั้งครรภ์
- งดมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 2 สัปดาห์ หรือหากเกิดการติดเชื้อในโพรงมดลูกให้งดมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 4 สัปดาห์ หรือจนกว่าจะหายเป็นปกติ
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นรับประทานสารอาหารพวกโฟลิกล่วงหน้าก่อนตั้งครรภ์อีกครั้ง
- ฟื้นฟูสุขภาพจิตใจให้ดี หลีกเลี่ยงสิ่งที่ก่อให้เกิดความเครียด นอนพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการทำงานหนักติดต่อกัน
"การท้องนอกมดลูก และการรับมือ"อีกหนึ่งฝันร้ายของคุณแม่ในช่วงตั้งครรภ์ และไม่มีใครอยากให้เกิด นั่นคือการ “ท้องนอกมดลูก” ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมากต่อทั้งตัวแม่และเด็ก แต่เพื่อหลีกเลี่ยงภัยเงียบต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต รู้มารู้จักสิ่งนี้กัน การตั้งครรภ์นอกมดลูก (Ectopic pregnancy) เป็นความผิดปกติของการตั้งครรภ์ประเภทหนึ่ง ที่ตัวอ่อนเกิดการฝังตัวนอกโพรงมดลูก รวมไปถึงที่ปีกมดลูก ท่อนำไข่ รังไข่ ปากมดลูก หรือช่องท้อง ทำให้ตัวอ่อนไม่สามารถเจริญเติบโตเป็นทารกได้ ซึ่งสิ่งนี้เป็นอันตรายต่อทั้งแม่และเด็ก และยังทำให้อวัยวะภายในของคุณแม่ได้รับความเสียหาย จนอาจทำให้เลือดออกในช่องท้อง จนถึงเสียชีวิตได้ จึงควรเริ่มพบแพทย์ทันทีที่ประจำเดือนเริ่มขาดไป สาเหตุของการท้องนอกมดลูก มีหลายสาเหตุ เช่น
- การติดเชื้อของอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ เช่น ภาวะอุ้งเชิงกราน มดลูก ท่อนำไข่และรังไข่เกิดการอักเสบหรือติดเชื้อ
- มีรอยแผลเป็นที่เกิดจากการผ่าตัดที่บริเวณอุ้งเชิงกรานในอดีต
- เคยมีประวัติท้องนอกมดลูกมาก่อน
- การทำหมันหญิง หรือการผ่าตัดแก้หมันหญิง หรือการใส่ห่วงอนามัยคุมกำเนิด
- การใช้ยา หรือการรักษาภาวะมีบุตรยาก เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว
- การใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน
- การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย
- การสูบบุหรี่
- ความผิดปกติของการพัฒนาภายในไข่หลังเกิดการปฏิสนธิ
- ประจำเดือนขาด
- เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
- มีอาการเจ็บหน้าอก คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ ซึ่งเป็นอาการแสดงของการตั้งครรภ์
- ปวดบริเวณอุ้งเชิงกราน ไหล่ คอ และบริเวณทวารหนัก
- มีภาวะช็อค
- มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ใช้ถุงยางอนามัยและไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน
- งดสูบบุหรี่ เพราะผู้ที่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงท้องนอกมดลูกสูงกว่าคนปกติ
- สังเกตอาการ และเข้ารับการตรวจวินิจฉัย เพื่อรับการรักษาให้ทันเวลา
วัน/เดือน/ปี ที่โพสต์: 11/04/2022






